สมัยที่เรายังเด็ก (ไดอารี่ยังไม่เกิด) มักได้ยินผู้ใหญ่พูดเสมอถึงอาชีพอันไม่พึงปรารถนา ที่ไม่อยากให้ลูกหลานโตขึ้นต้องประกอบอาชีพเหล่านั้น
อันแรกคือ “นักร้องนักแสดง” เพราะเป็นอาชีพ “มือถือไมล์ ไฟส่องหน้า” รายได้ไม่สม่ำเสมอและน้อย บ่อยครั้งชักหน้าไม่ถึงหลังและบางทีก็ต้องตระเวนแสดง อยู่ไม่เป็นที่ นอนไม่เป็นเวลา ชื่อเสียงขึ้นลงแล้วแต่ความนิยม แก่ตัวมาไม่มีหลักประกัน เช่น บำเหน็จหรือบำนาญ
อันต่อมาคือ “นักข่าว” เพราะสมัยโน้น ภาคเศรษฐกิจของสังคมไทยยังเล็กนัก การเมืองอยู่ในมือเผด็จการทหาร ทีวีวิทยุถูกควบคุมและมีน้อยช่อง หนังสือพิมพ์การเมืองถูกกวาดล้างและข่าวเศรษฐกิจแบบทันสมัยแทบไม่มี นักข่าวเกือบทั้งหมดจึงอยู่ในสายอาชญากรรม ลากรองเท้าแตะ หากินตีนโรงตีนศาล (คือประจำตามโรงพักและศาล)
อันสุดท้ายคือ “ตัวแทนขายประกัน” เพราะเวลามาขายกับชาวบ้านจะพูดจาหว่านล้อม แต่งตัวดีน่าเชื่อถือ วาดฝันเสียดิบดี บ้างก็รับปากไปยังงั้น หลอกให้เซ็นกรมธรรม์ แต่พอถึงเวลาต้องเคลม ชาวบ้านต้องไปเจอฝ่ายกฎหมายซึ่งอ้างสัญญาและข้อยกเว้นร้อยแปด เพื่อปกป้องผลประโยชน์บริษัทประกัน อีกอย่าง คนอาชีพนี้เปลี่ยนหน้าบ่อยมาก เมื่อถึงเวลาชาวบ้านจะพึ่งพาก็หาตัวไม่เจอ และบ่อยครั้งที่บริษัทประกันสมัยโน้นเจ๊งหรือผู้ถือหุ้นโกง ทำให้ชาวบ้านสูญเงิน เพราะรัฐบาลยังควบคุมไม่แน่นหนา ภาพลักษณ์ของพวกเหล่านี้ในสายตาชาวบ้านจึงใกล้เคียง “สิบแปดมงกุฎ”
แต่ความนิยมในอาชีพมันก็เหมือนกับความชอบอื่นๆ ของคนแต่ละรุ่น มันเป็นแฟชั่น เปลี่ยนแปลงไปได้ตามกาลเวลา
อย่างโบราณว่าผู้หญิงอ้วนอวบสมบูรณ์คือแม่แบบของ “คนสวย คนงาม” แต่เดี๋ยวนี้ต้องผอมกะหร่องเหมือนนางแบบฝรั่งบนปกแม็กกาซีน ใครอ้วนก็แอบขุ่นใจและต้องเสียเงินเสียเวลาเสียพลังไปกับกระบวนการทำให้หุ่นกลับมาเพรียวอีกครั้ง
สมัยก่อนว่ากัญชาคือยาเสพติด ใครสูบกัญชาคือพวกขี้ยา ต้องจับขังคุก แต่เดี๋ยวนี้กัญชาเป็นยาชั้นดี ยิ่งกว่ายาผีบอก รักษาได้สารพัดโรคแม้แต่มะเร็ง ใครบริโภคถือว่าทันสมัย และรัฐบาลไหนปิดกั้น ถือว่าไดโนเสาร์เต่าล้านปี
ผู้พิพากษาที่เคยตัดสินคดีให้พวกพี้กัญชาจำนวนมากไปติดคุกในอดีต จะสำนึกเสียใจไหม
สมัยก่อนว่าคอมมิวนิสต์เลวร้าย หัวหน้าใหญ่คือ “เมาเซตุง” ใครคบค้ากับจีนแดงถือว่าไม่รักชาติและเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันฯ ใครมีเชื้อจีนมักมีปมด้อยในใจ แต่เดี๋ยวนี้กลับนิยมยกย่อง ว่าจีนคอมมิวนิสต์เด็ดขาดดี อยากเอาอย่าง สมาชิกราชวงศ์คบค้ากับคอมมิวนิสต์จีนอย่างใกล้ชิด และว่าประชาธิปไตยมีปัญหา ลูกเจ๊กหลานจีนกลับมาพูดภาษาจีนและเปิดเผยสาแหรกอย่างภูมิใจ… ฯลฯ
สามอาชีพที่กล่าวมาก็คล้ายคลึงกัน ที่ความนิยมเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและเงื่อนไขของสังคมเศรษฐกิจโลก
ปัจจุบัน สองอาชีพแรกหมดปัญหา กลับกลายเป็นอาชีพยอดฮิตของคนรุ่นใหม่ กิจการเอ็นเทอร์เทนเม้นต์เป็นอุตสาหกรรมใหญ่ของโลก มีมูลค่ามหาศาล บุคลากรในอาชีพนี้จึงทำเงินง่ายและเร็ว อีกทั้งข่าวสารข้อมูลก็เป็นของสำคัญที่คนยุคนี้ต้องบริโภค เกือบเท่าปัจจัยสี่แล้ว สื่อจึงสำคัญและคนในแวดวงนี้ก็ทำเงินได้มากและโด่งดังเป็น Celebrity เดี๋ยวนี้เด็กรุ่นใหม่ล้วนอยากเป็น “YouTuber” กันทั้งนั้น
ทว่า ตัวแทนขายประกันนี่สิ ชาวบ้านร้านช่องก็อาจจะยังขยาดๆ อยู่บ้าง และคนรุ่นใหม่ ถ้าหลีกเลี่ยงได้ ส่วนใหญ่ก็ไม่อยากข้องเกี่ยวกับอาชีพนี้
อันที่จริง ธุรกิจประกัน เป็นธุรกิจเก่าแก่มากๆ อาจมีมาพร้อมกับอารยธรรมมนุษย์เลยก็ได้
ในสมัยกรีกโบราณและจีนโบราณ ก็มีคนรับประกันความเสียหายเวลาต้องออกเรือหรือเดินทางไกลแล้ว
ส่วนธุรกิจประกันแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนี้ เริ่มมีมาตั้งแต่ยุคสมเด็จพระนารายณ์ คือหลังไฟไหม้ใหญ่กรุงลอนดอนเมื่อปี 1666
โบราณว่า “โจรปล้นสิบครั้ง ไม่เท่าไฟไหม้ครั้งเดียว”
จะผ่อนหนักให้เป็นเบา ก็เลยมีคนหัวใสไปชวนเจ้าของบ้านจำนวนมากมาทำประกันร่วม ช่วยกันจ่ายเบี้ยคนละน้อย กระจายกันไป แล้วต่อไปถ้าบ้านใครถูกไฟไหม้ ก็สามารถนำเงินตรงนี้ไปช่วยได้ เป็นการกระจายความเสี่ยงไปให้กันและกัน แต่ถ้าเกิดโชคดี ไม่มีใครถูกไฟไหม้เลย เงินจำนวนนั้นก็ถูกนำมาคืน…และในเวลาปกติ ผู้รับประกันมีหน้าที่นำเงินกองกลางไปลงทุนให้งอกเงย เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินการและผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น
อย่าลืมว่า การดำเนินชีวิตประจำวันของมนุษย์เรา ล้วนตั้งอยู่บนความเสี่ยงหลากหลายแบบ ดังนั้นอุตสาหกรรมประกันจึงกลายเป็นอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่และมีกำไรมาก
มาถึงวันนี้ ธุรกิจประกันได้ครอบคลุมการกระจายความเสี่ยงไปในทุกแง่มุมของชีวิตมนุษย์ ทั้งประกันภัย ประกันวินาศภัย ภัยธรรมชาติ ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ ประกันสินทรัพย์ ประกันบ้าน ประกันรถยนต์ ประกันการตกงาน ประกันงานศิลปะ ประกันเมียประกันผัว หรือแม้แต่ประกันเล็บ ฟัน และจมูกของดาราฮอลลีวูด โดยรัฐบาลเองก็เข้ามาช่วยการันตีความเสี่ยงของคนเล็กคนน้อย เช่นประกันสุขภาพ การศึกษา และประกันสังคม เป็นต้น
แต่ที่น่าคิดคือโมเดลธุรกิจของอุตสาหกรรมนี้แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาเลยนับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
บริษัทประกันสร้างกำไรให้กับผู้ถือหุ้นและเจ้าของมาก และเจ้าของบริษัทประกันล้วนเป็นมหาเศรษฐีหรือตระกูลมหาเศรษฐีของสังคมนั้นๆ แทบทั้งสิ้น
จึงไม่แปลกที่ใครต่อใครอยากเข้ามาแย่งเค้กในอุตสาหกรรมนี้ ทั้งพวก Start-up พวก FinTech ที่เสาะหา Business Model ใหม่ อย่าง Peer-To-Peer Insurance อาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง Blockchain มาเจาะยางเพื่อ Disrupt แชมป์เก่า หรือแม้แต่ยักษ์ใหญ่นอกอุตสาหกรรมอย่าง ธนาคาร และเครือข่ายค้าปลีก 7-11 ก็อยากเข้ามาแชร์ผลประโยชน์ด้วย แม้กระทั่ง Facebook ก็จะสร้างกระเป๋าเงิน Calibra แล้วคงให้มีการขายประกันตรงกับผู้ใช้ FB หรือ Instagram ในอนาคต
ล่าสุดวันนี้ ได้ข่าวว่า TESLA ของมหาเศรษฐีอัจฉริยะ Elon Musk ก็ประกาศตั้ง TESLA INSURANCE เพื่อรับประกันรถยนต์ของตน (แล้วต่อไปอาจรับประกันรถยนต์ค่ายอื่นด้วย) และขายกรมธรรม์ต่ำกว่าราคาของคู่แข่ง 20-30%
เราว่าตรงนี้น่าสนใจ เพราะอุตสาหกรรมรถยนต์กำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่
รถยนต์เก่าที่ใช้น้ำมันจะล้าสมัย ต้องเปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้าในที่สุด เมื่อเทคโนโลยีแบตเตอรี่ก้าวหน้าขึ้นและราคาถูกลง
มันจะเป็นการเปลี่ยนแบบ Full Cycle เหมือนที่กำลังจะเกิดขึ้นกับสมาร์ตโฟนที่ทุกคนจะต้องเปลี่ยนเครื่องของตัวเองเพื่อรองรับระบบ 5G ในอนาคตอันใกล้
ความเปลี่ยนแปลงสองประการนี้จะส่งผลให้ประกันรถยนต์โตอีกรอบ และรูปแบบการประกันก็จะเปลี่ยนไปด้วย
รถยนต์ในอนาคต มันประกอบด้วยสองส่วนคือ Hardware ที่เป็นตัวรถ และซอฟต์แวร์ที่เป็นระบบประมวลผล
รถแต่ละคันจะต้องติดเซนเซอร์ กล้อง เรดาร์ (LIDAR) และไมโครโพรเซสเซอร์ชิปจำนวนมาก เพื่อเก็บข้อมูลในรัศมีรอบตัวรถ (เช่นรถคันอื่นที่เข้าใกล้ หรือรถคันหน้าที่เรากำลังจะแซง พื้นผิวถนน อุณหภูมิภายนอก คนหรือหมาที่กำลังเดินบนถนน ฯลฯ) ประมวลผลเบื้องต้น แล้วส่งข้อมูลทั้งหมดมาที่แพลตฟอร์มกลาง ซึ่งคอยมอนิเตอร์แล้วตัดสินใจแทนรถในเครือข่ายแต่ละคัน
ทีนี้เมื่อคอมพิวเตอร์ที่ศูนย์แพลตฟอร์มกลางรับข้อมูลมากขึ้นและหลากหลายขึ้น จากรถทุกคันที่เผชิญกับทุกสภาพถนน ทุกสภาพอากาศ ทุกความเป็นไปได้ ระบบประมวลผล AI Algorithm มันก็จะฉลาดขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งข้อมูลมากและหลากหลาย มันก็จะยิ่งมีประสบการณ์มากและหลากหลาย และจะตัดสินใจได้ถูกต้องขึ้นเรื่อยๆ
เราเรียกว่า Machine Learning
เหมือนกับเวลาเราเล่น Facebook หรือ Instagram แล้วเราเกิดไปกดไลท์กดแชร์ตรงไหนเข้า คราวหน้าระบบประมวลผลมันรู้ว่าเราชอบแบบนี้ มันก็จะส่งเรื่องทำนองนี้มาให้เราใหญ่เลย
และยิ่งเราทำกิจกรรมมากขึ้นบ่อยขึ้นเท่าใด มันก็จะรู้ใจเรามากขึ้นเป็นเงาตามตัว
TESLA เองก็ใช้ระบบนี้อยู่ เพราะเทสล่าต้องอัปเกรดซอฟต์แวร์ให้กับรถในเครือข่ายของตัวบ่อยๆ และยิ่งรถของเทสล่าลงไปวิ่งบนถนนมากขึ้นและนานขึ้นเท่าใด AI Algorithm ของเทสล่าก็จะฉลาดขึ้นเป็นเงาตามตัว จนในที่สุดมันก็จะขับขี่ไปได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องมีคนคอยบังคับ (เรียกว่า Level 5…ปัจจุบันความสามารถของซอฟต์แวร์เทสล่าอยู่ประมาณ Level 2)
ผลพลอยได้คือเทสล่าต้องรู้ว่าเจ้าของรถคันไหนขับดีไม่ดี
คนขับดีที่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุ เทสล่าก็สามารถขายประกันให้ได้ในราคาต่ำๆ เพราะรู้แน่ว่าความเสี่ยงที่คนๆ นั้นจะไปขับชน ก็ต่ำด้วย
อีกอย่างคือ เทสล่าไม่จำเป็นต้องใช้ตัวแทนประกันเลย เพราะ AI Algorithm มันจะเลือกรายชื่อและประเมินความเสี่ยงของเจ้าของรถผู้จะเอาประกันทุกคันให้โดยอัตโนมัติ
ต้นทุนย่อมต่ำกว่าธุรกิจประกันรถยนต์แบบเดิม อย่างแน่นอน
เรื่อง : ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว